รีวิวThe Call

รีวิวThe Call

[section label=”H1″]

รีวิวThe Call การได้ยินเสียงจากอดีตผ่านเครื่องมือสื่อสารข้ามห้วงเวลา มีทำกันมาหลายเรื่องแล้ว ทั้งเกาหลีเองอย่างซีรีส์ซิกแนล หรือของฝรั่งเองก็หลายเรื่องนับไม่ถ้วน ซึ่งก็มีทั้งแนวหนังรักข้ามเวลา หรือพวกดราม่าจัดๆ แนวทริลเลอร์มีเช่นกันเพราะพล็อตเรื่องแนวนี้สามารถบิดให้เป็นแนวไหนก็ได้ ซึ่ง The Call เองก็วางตัวเป็นแนวทริลเลอร์ สยองขวัญ ดูจากภายนอกอาจจะไม่ได้แตกต่างไปจากเรื่องอื่น หนังหักมุม

แต่ลึกลงไปภายในเรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังที่ต้องบอกว่าน่าจะเต็ง 1 ของปีนี้ที่มีบน Netflix ทั้งในแง่ของความสนุก ฉีกแตกต่าง งานโปรดักชั่นคุณภาพสูงมากแทบไร้ที่ติ แทบไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นผลงานกำกับครั้งแรกพ่วงเขียนบทด้วยของ ลี ชอง-ฮยอน แถมยังด้วยดารานำขวัญใจคนดูอย่าง น้องผัก หรือ พัคชินฮเย ซึ่งในเรื่องนี้เธอเป็นดารานำคู่กับ จุนจงซอ ในบทที่เป็นทั้งเพื่อนรักต่างห้วงเวลาและเป็นฆาตกรต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน ดูหนัง 4k

หนังมีวิธีการเล่าเรื่องที่แม้จะไม่อาจบอกเราทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวได้ไม่ยาก การเล่าเรื่อง ก็ไม่ได้เรียงลำดับไปตั้งแต่ 1-10 มีการลำดับเวลาที่สลับไปสลับมาอยู่บ้าง ซึ่งเป็นจุดเด่นของหนังที่ต้องการทำให้เราเห็นเรื่องความยอกย้อนของช่วงเวลา ต้องการทำให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงอดีตที่ไม่ควรจะเป็นนั้น ส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไรเราไปติดตามชมกันค่ะ ดูหนังออนไลน์ 4k

[title style=”center” text=”รีวิวThe Call” tag_name=”h1″]

[ux_video url=”https://www.youtube.com/watch?v=D4JX3BHqdII”]

[/section]
[section label=”H2.1″]

[title style=”center” text=”รีวิวThe Call เรื่องราวของหญิงสาว2คนที่พบกัน” tag_name=”h2″]

เรื่องราวของซอยอน (รับบทโดย พัคชินฮเย) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่วันนึงเธอได้รับสายปริศนาจากโทรศัพท์บ้านในบ้านใหม่ที่เธอเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานหลังจากที่บ้านเก่าของเธอไฟไหม้จนต้องสูญเสียพ่ออันเป็นที่รักไป เธอจึงได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของแม่ (รับบทโดย คิมซองรยอน) มาตลอดชีวิต สายปริศนาที่เธอได้รับถูกโทรมาจากอดีตในปี 1999 จากหญิงสาวที่ชื่อว่าโอยองซุก (รับบทโดย จอนจงซอ) ที่อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงที่เป็นหมอผีร่างทรง (รับบทโดย อีเอล)

[ux_image id=”5877″]

มักจะทารุณกรรมเธออยู่เสมอ โดยอ้างว่าจะขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่สิ่งอยู่ในตัวยองซุกให้ออกไป โดยวันหนึ่งยองซุกได้ยื่นข้อเสนอว่าเธอสามารถช่วยไม่ให้พ่อของซอยอนตายได้ และเธอก็สามารถทำได้จริง ๆ ทำให้ปัจจุบันที่ซอยอนอยู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงยิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนวันนึงซอยอนได้ช่วยชีวิตยองซุกจากเงื้อมมือแม่เลี้ยง ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของฆาตกรต่อเนื่อง ปีศาจที่จะมาเปลี่ยนชีวิตของซอยอนไปตลอดกาล

ครึ่งแรกเดินเรื่องไปด้วยมิตรภาพใสๆ ต่างห้วงเวลา ที่คงทำให้คนดูที่ไม่เคยดูตัวอย่างหรือรู้แนวเรื่องมาก่อนนึกว่าเป็นแนวใสๆ เลยก็ว่าได้ เพราะมีฉากที่ทั้งคู่แลกเปลี่ยนมิตรภาพผ่านห้วงเวลากันเป็นอะไรที่ดีมาก โดยซอยอนก็เปิดยูทูบหานักร้องที่ยองซุกชอบเพื่ออัดเทปกลับไปฟังได้ ยองซุกเองก็ส่งของจากในอดีตมาให้ซอยอน ต่างคนต่างเติมเต็มกันและกัน ซึ่งตัวละครทั้งคู่ต่างมีบาดแผลเดียวกันคือกำพร้าพ่อกับการที่ไม่ชอบแม่ ในกรณีของซอยอนคือการกล่าวโทษว่าแม่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุที่ทำให้พ่อตาย ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามเปลี่ยนอดีต และลึกๆ

แล้วตัวหนังยังซ่อนความลับในเรื่องนี้ไว้ลึกลงไปอีกในภายหลัง ซึ่งถือว่าการเขียนบทนี้ไม่ธรรมดาเลยที่ปมพื้นๆ ในเรื่องยังมีอะไรมากอีกมายในนั้น และก็เป็นจุดที่ทำให้เรื่องใส่แนวดราม่าครอบครัวลึกซึ้งเพิ่มได้อีก โดยใช้ปมนี้ปมเดียวมาเป็นจุดพลิกของเรื่องราวได้อีกหลายครั้ง ซึ่งรับรองว่าแอบมีน้ำตาซึมกันได้แน่ๆ ครับ และตัวน้องผักเองก็เอาอยู่กับบทบาทที่ได้รับในเรื่องนี้ ทั้งฉากดราม่าซึ้งๆ และฉากถูกไล่เชือดที่สวยใสทั้งสองลุค ผมสั้นกับผมยาว สลับไปมาตามอนาคตที่เปลี่ยนไป

[/section]
[section label=”H2.2″]

[title style=”center” text=”การดำเนินเรื่อง” tag_name=”h2″]

ภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงต้นเรื่องที่เป็นการเกริ่นนำสามารถทำได้ดีชวนติดตามอยู่พอสมควร ชวนให้อยากรู้และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอดีตจะถูกเปลี่ยนเช่นไรส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไร ใครจะต้องมาตายเพราะยองซุกอีก และซอยอนจะเอาตัวรอดและเอาชนะยองซุกได้ด้วยวิธีอะไร เนื้อเรื่องมีความค่อย ๆ บีบคั้นและกดดันมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ารเล่าเรื่องที่น่าสนใจ เขามีวิธีการปูเรื่องที่ทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครซอยอนที่อยู่ในปัจจุบันกับยองซุกในอดีต แล้วยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เรารู้สึกกดดัน เอาใจช่วยไปกับตัวละครทั้ง 2 ตัวได้อย่างดีมาก และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง

หนังก็หักมุมเราได้อย่างเจ็บแสบโดยที่เราไม่สามารถคาดเดาเนื้อเรื่องได้เลย นับเป็นการหักมุมที่เรียกได้ว่าเป็น Big Idea ที่สำคัญของหนังเรื่องนี้ แล้วส่งผลต่อเรื่องราวในช่วงครึ่งหลังของเรื่องทั้งหมดอย่างเข้มข้น

[ux_image id=”5879″]

อันที่จริงหนังแนวเปลี่ยนอดีตกระทบอนาคตนั้นมีการสร้างมามากมายไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง แต่การพลิกให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังแนวทริลเลอร์ที่เล่นกับความคาดหวังของคนดูตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งผู้กำกับและมือเขียนบท ลี ชอง-ฮยอน สามารถตรึงคนดูให้อยู่ที่หน้าจอจนไม่อยากจะละสายตาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย

หนังมีวิธีการเล่าเรื่องที่แม้จะไม่อาจบอกเราทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวได้ไม่ยาก การเล่าเรื่อง ก็ไม่ได้เรียงลำดับไปตั้งแต่ 1-10 มีการลำดับเวลาที่สลับไปสลับมาอยู่บ้าง ซึ่งเป็นจุดเด่นของหนังที่ต้องการทำให้เราเห็นเรื่องความยอกย้อนของช่วงเวลา ต้องการทำให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงอดีตที่ไม่ควรจะเป็นนั้น ส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไร

เรื่องเทคนิคพิเศษนั้นก็ถือว่าทำได้ดีมาก มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกได้ค่อนข้างลงตัว ถูกที่ถูกเวลา ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และมันทำให้อารมณ์ของหนังที่มีโทนหลังเป็นแนวระทึกขวัญนั้นมีความเป็นแฟนตาซีเพิ่มขึ้น

ครีเอทฉากออกมาให้อนาคตกับอดีตสัมพันธ์กันได้อย่างแนบเนียน ซึ่งไม่ใช่แค่การโชว์เหนือ แต่ฉากเหล่านี้ยังช่วยส่งอารมณ์ของเรื่องในตอนนั้นให้คนดูอินได้มากขึ้นอีกด้วย แต่แอบเสียใจนิดๆ ที่ระหว่างทางโชว์ CG มาตลอด แต่ตอนจบที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสุดของเรื่อง กลับทำออกมาเรียบง่ายเหมือนไม่ได้ต้องการใช้ CG อะไร ซึ่งก็อาจจะเป็นความต้องการของผู้กำกับที่ไม่อยากให้ฉากวิชวลตอนนี้มาบดบังดราม่าปิดเรื่องในตอนจบก็เป็นได้

[/section]
[section label=”H2.3″]

[title style=”center” text=”จุดเด่นและจุดด้อยของเรื่อง” tag_name=”h2″]

จุดเด่นที่สุดก็คือการสร้างความกดดันให้กับคนดูทำให้คนดูรู้สึกว่า ตัวละครเอกของเรื่องนั้นตกเป็นรองตัวร้ายของเรื่องอย่างมาก ตกเป็นรองในแบบที่ว่าเราไม่สามารถคิดได้เลยว่าจะมีวิธีการโต้กลับได้อย่างไร แม้จะอยู่ในช่วงคนละเวลากับตัวละครเอกแต่ก็สามารถรับรู้เรื่องราวในอนาคตได้ แต่คนที่รู้เรื่องราวในอดีตกลับไม่สามารถแก้ไขหรือตั้งตัวอะไรได้เลย มันเป็นการชิงไหวชิงพริบที่ค่อนข้างเฉียบขาด

[ux_image id=”5878″]

จุดด้อยของเรื่องก็คงเป็นเรื่องไซไฟที่ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมทั้งคู่ถึงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ข้ามเวลาได้ รวมถึงทฤษฎีการเปลี่ยนอดีตแก้อนาคตในเรื่องที่มีช่องโหว่ให้เห็นอยู่บ้าง

การที่นางเอกได้รับผลกระทบโดยตรง แต่กลับจำอดีตที่ถูกเปลี่ยนไม่ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นที่เธอเป็นเด็ก แต่รวมๆ แล้วถ้าไม่คิดมากแบบจับผิด ก็จะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ครับ เพราะเรื่องก็ค่อนข้างสมูธมากแล้วในการเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้ง ยกเว้นเรื่องขาดคำอธิบายของโทรศัพท์ข้ามมิติเท่านั้น ถ้ามีใส่มาสักนิดน่าจะทำให้เรื่องสมบูรณ์มากกว่านี้

[/section]
[section label=”H2.4″]

[title style=”center” text=”เอกลักษณ์ของเรื่อง” tag_name=”h2″]

เป็นการมารับแสดงหนังเรื่องที่ 2 ของดาราสาวหน้าใหม่อย่าง จอนจงซอ เธอคือหญิงสาวอาร์ตตัวแม่ที่เป็นตัวแปรของทุกอย่างในหนังโชว์เมืองคานส์ของผู้กำกับชั้นครูอย่าง อีชางดง เธอเป็นดาราหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในวงการหนังคุณภาพเกาหลีในตอนนั้นทีเดียว การกลับมาในหนัง จึงเป็นความสาแก่ใจส่วนหนึ่ง ยิ่งบทบาทของเธอเป็นสาวที่จิตผิดปกติ มีทั้งด้านอ่อนแอราวกับแก้วที่พร้อมแตกสลาย และด้านที่ขมุกขมัวราวกับควันไฟสีดำที่แผดเผาได้ทุกสิ่งอย่างยากเดา

บทร้ายที่น่ายำเกรงย่อมมาพร้อมกับตัวเอกที่น่าเอาใจช่วย ทว่าหนังแนวธริลเลอร์เขย่าขวัญหลาย ๆ เรื่องมักตายน้ำตื้นโดยการสร้างตัวละครนำที่ไม่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ก็มักมาพร้อมความสติแตก อ่อนแอ ทำตัวโง่ ๆ จนเราไม่อยากเอาสายตาตัวเองลงไปแทนตัวละครในสถานการณ์นั้น ๆ เลย ทว่าสำหรับการแสดงของ พักชินฮเย ต้องยอมรับว่าบทก็ส่วนหนึ่ง แต่การถ่ายทอดของเธอก็เสริมให้มิติเชิงลึกของบทนางเอกนั้นน่าติดตามมากขึ้น

[ux_image id=”5880″]

เป็นตัวละครที่มีทั้งแข็งและอ่อนในตัว เธอเข้มแข็ง ตอบโต้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติในแบบมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่เชื่อได้ ด้วยภาษากายที่สะท้อนความบอบบางของตัวละครที่มักโอบกอดตัวเอง ไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นตัวละครที่เราเอาใจช่วย และยืนเคียงข้างได้ตลอดเรื่องแบบยินดีมอบกายถวายใจ เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อกันมากทั้งตัวเอก-ตัวร้าย

แม้จะเป็นหนังยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ อีชุงฮยอน แต่มันก็มีคุณภาพในแบบที่น่าจับตามมอง ด้วยเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากหนังประเทศอังกฤษเรื่อง The Caller (2011) ของ แมธธิว พาร์กฮิลล์ และบทของ เซอร์จิโอ แคสซี ที่มีจุดเด่นของพล็อตเรื่องของเวลา และการแก้ไขไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์แบบไซไฟ

นำมาผสมกับหนังแนวธริลเลอร์จิตวิทยา เมื่อฆาตกรในอดีตมีชีวิตของตัวเอกในห้วงเวลานั้นเป็นตัวประกัน และบังคับควบคุมให้ตัวเอกในปัจจุบันทำตามมัน แน่นอนแค่นี้ก็โคตรมันแล้วเพราะ ตัวเอกในปัจจุบันแทบไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลย เพราะไปจับต้องอดีตไม่ได้ แล้วจะสู้กับฆาตกรอย่างไร นั่นล่ะไฮไลต์เลยละค่ะ

[/section]
[section label=”H3.1″]

[title style=”center” text=”รีวิวThe Call ความรู้สึกหลังดู”]

โดยรวมถือว่า เป็นภาพยนตร์ที่สนุกในระดับดี ตัวบทนำเสนอออกมาได้น่าสนใจที่สามารถเอาความแฟนตาซีเกี่ยวกับมิติเวลามาผสมผสานไปกับความสยองขวัญ ความลุ้นระทึกสั่นประสานไปกับการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นในเรื่อง ผ่านตัวละครที่แทบจะมีแต่ผู้หญิง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นักแสดงหญิงต่างก็ปล่อยของโชว์พลังกันไม่หยุด

นี่เป็นหนังเกาหลีที่คุณภาพดีเรื่องหนึ่ง มีรสดราม่า รสระทึกขวัญ มีการแสดงที่ลึกและเข้มข้น มีโปรดักชันที่มาตรฐานสูง และแน่นอนพัฒนามาจากพล็อตที่ดีมาก่อนแล้ว ดังนั้นแล้วใครชอบอะไรประมาณนี้ก็ไม่ควรพลาดเลย ส่วนใครหาหนังผลาญเวลานี่เป็นอีกเรื่องที่ดีพอควร

[ux_image id=”5881″]

หนังแนวระทึกขวัญฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตขายความระทึกแบบนี้แถมด้วยความพลิกผันขนาดนี้  นอกจากบทที่ต้องเป๊ะทุกกระเบียดแล้วหนังจะไปไม่ถึงจุดสุดยอดได้ถ้านักแสดงไม่สามารถถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ นักแสดงเกาหลีนั้นมีมาตรฐานสูงและมันคือส่วนสนับสนุนความน่าเชื่อถือในด้านตัวละครและยกระดับหนังให้สูงขึ้น

หนังยังมีความพลิกผันไปมาเดาทางยากตามสไตล์เกาหลีพร้อมการหลอกล่อที่ถูกจังหวะเวลา  ถ้านั่นยังไม่พอครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังคือความระทึกและลุ้นจนแทบลืมหายใจจนกระทั่งเมื่อหนังจบเผลอปาดเหงื่อไปด้วย

ส่วนบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไงให้ไปพิสูจน์เอง และนี่คือหนังที่ทรงพลังตั้งแต่ต้นหนังมอบความสนุกและคุ้มค่าตามหน้าที่ที่หนังแนวนี้พึงมี  ถ้าจะมีอะไรให้ตินิดหน่อยคงเป็นการที่หนังขมึงตึงและเดินหน้าอย่างเดียวไม่มีผ่อนให้ผู้ชมได้พักถอนหายใจบ้าง  แต่นั่นคือเจตนารมณ์ที่หนังตั้งไว้และเมื่อทำได้ถึงขนาดที่คนดูอึดอัดแทบกลั้นหายใจตลอดเวลานั่นคือหนังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว  และคงต้องบอกว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ดูมาสำหรับหนังแนวนี้เรื่องหนึ่งเลยที่ต้องแนะนำว่าต้องดูเท่านั้น

[/section]
[section label=”H3.2″]

[title style=”center” text=”ตอนจบของเรื่อง”]

การจบของเรื่องนั้นไม่ได้มีการจบในครั้งเดียว มีการจบแบบ 2 ครั้ง ซึ่งในส่วนตัวผู้เขียนบอกแกว่าการจบในครั้งแรกนั้นถือว่าลงตัวที่สุดแล้ว แต่พอมีการจบในครั้งที่ 2 เกิดความขัดแย้งทางความคิดของการดูว่าสรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจจะบอกว่านี่คือการจบแบบปลายเปิด

แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นปลายเปิดที่จบแบบไม่สมบูรณ์ ซึ่งต่างกับการจบแบบหนังปลายเปิดที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง Inception เรียกได้ว่า Inception คือการจบแบบปลายเปิดที่สมบูรณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ หรือนี่อาจจะเป็นการหยอดของทีมผู้สร้างว่าต้องการที่จะสร้างภาคต่อก็เป็นได้

[ux_image id=”5882″]

ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ ลึกลับ จิตวิทยา ที่มีลีลาการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและมีจุดหักมุมที่ ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ สามารถสร้างความกดดันให้กับคนดูได้ตลอดเวลา

นอกจากจะต้องลุ้นระทึกเอาใจช่วยซอยอนและซู้ดปากกับความโหดเหี้ยมของยองซุกแล้ว โปรดักชั่นของตัวหนังก็ทำออกมาได้ดี มีความสดใหม่ ฉากที่ปัจจุบันเปลี่ยนภาพ CG สวยเนียนกริ๊บ มุมกล้อง ซาวน์เสียง โลเคชั่นหรือการจัดแสงต่างๆ ก็ทำออกมาได้สมบูรณ์เป็นตัวเพิ่มความระทึกขวัญ ความกดดันและความหลอนออกให้ออกมาเต็มสตรีมมากขึ้น

เป็นภาพยนตร์ที่สนุกในระดับดี ตัวบทนำเสนอออกมาได้น่าสนใจที่สามารถเอาความแฟนตาซีเกี่ยวกับมิติเวลามาผสมผสานไปกับความสยองขวัญ ความลุ้นระทึกสั่นประสานไปกับการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นในเรื่อง ผ่านตัวละครที่แทบจะมีแต่ผู้หญิง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นักแสดงหญิงต่างก็ปล่อยของโชว์พลังกันไม่หยุด

[/section]